ตั้งครรภ์ลูกคนที่สองยาก




เมื่อคุณไม่สามารถมีลูกคนที่สองได้ แสดงว่าคุณเกิดภาวะมีลูกคนที่สองยาก และจากการสำรวจอัตราการเกิดของประชากรนิวซีแลนด์พบว่า 1 ใน 6 ของคู่สามี-ภรรยาใช้เวลามากกว่า 10 ปีกว่าจะมีลูกคนที่สอง และเมื่อเป็นเช่นนี้คุณควรจะได้รับการปลอบใจเพราะความกระวนกระวายจะมากขึ้นเมื่อเวลายิ่งผ่านไปนาน แม้คุณจะทราบดีว่ามันจะได้ผลในที่สุด แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ น่ารำคาญ และน่าหงุดหงิดมากทำไมดิฉันจึงมีลูกอีกไม่ได้ ? ภาวะมีลูกคนที่สองยากมาจากหลายสาเหตุ ดังนี้ ปัญหาการตกไข่ โรคถุงน้ำในรังไข่ เนื้องอกชนิดเนื้อเยื่อเส้นใย ความผิดปกติของฮอร์โมน เยื่อบุมดลูกอักเสบ เคยตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน การอักเสบที่มดลูก หรือโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ เช่น คลามีเดีย รวมถึงภาวะมีลูกยากของผู้ชายด้วย สาเหตุหลักอาจจะเป็นแค่เพียงเพราะเมื่อคุณอายุมากขึ้น ความสามารถในการมีลูกของคุณก็จะลดลง แต่สาเหตุต่างๆของภาวะมีลูกยากก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย ปัญหาภาวะมีลูกยากยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเนื่องจากผู้หญิงในปัจจุบันเริ่มมีลูกเมื่ออายุมากขึ้น จากอายุ 20 กว่าๆ ไปเป็น 30 กว่าๆ มองหาความช่วยเหลือสำหรับภาวะมีลูกยากคำแนะนำทั่วๆไป คือถ้าคุณอายุต่ำกว่า 35 ปีและพยายามที่จะมีลูกมาแล้วประมาณ 12 เดือน หรือ อายุมากกว่า 35 ปีและพยายามมาแล้ว 6 เดือน คุณควรจะตรวจร่างกายค่ะ ถ้าประจำเดือนของคุณมาไม่สม่ำเสมอหรือคุณทราบว่าสามีมีจำนวนเสปิร์มน้อย คุณยิ่งต้องมองหาความช่วยเหลือให้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกันก็พยายามก็ไปค่ะ คุณมีปัญหาเรื่องการมีลูกคนที่สองหรือไม่คะ ? มาแสดงความคิดเห็นของคุณที่นี่เลยค่ะ



ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก drypers.co.th
[Continue Reading]

ตั้งครรภ์ควรกินอะไร…เรื่องที่คุณแม่ควรรู้!

“ตั้งครรภ์ควรกินอะไร” คำถามนี้เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณแม่ตั้งภรรค์หลายๆ ท่านสงสัย วันนี้ มีคำถามว่า ตั้งครรภ์ควรกินอะไร มาฝากจ๊ะ คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องก็เปรียนเสมือนคนป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการนอน การนั่ง หรือการเดิน
เรียกได้ว่าต้องคอยระวังทุกๆ ย่างก้าว แต่ไม่ใช่มีเพียงเท่านั้นที่ควรจะใส่ใจนะค่ะ อาหารก็เป็นอีกหนี่งสิ่งที่สำคัญที่ต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษด้วยเช่นกันนะค่ะ วันนี้ มีเกร็ดความรู้ที่ว่า ตั้งครรภ์ควรกินอะไร มาฝากกันค่ะ เป็นอีกหนึ่งเก็ดเรื่องน่ารู้ดีๆ ที่คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องไม่ควรพลาดเลยนะคะ ก่อนที่จะมีสุขภาพที่ดี ต้องมาจากสภาพแวดล้อมที่ดี อาหารที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นวันนี้มารู้จักกับเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการ ตั้งครรภ์ควรกินอะไร กันเลยดีกว่านะค่ะ มาเริ่มดูแลตัวเองกับลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปพร้อมๆ กับ กันเลยดีกว่า ค่ะ

ตั้งครรภ์ควรกินอะไร…น๊า…มีคำตอบ!
1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารมื้อเช้า
เป็นมื้อที่ขาดไม่ได้ อาจเลือกกินอาหารที่เบาๆ รสชาติไม่จัด เช่น นมสด น้ำผลไม้ ขนมปัง ไข่ จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและมีพลังสำหรับการทำงาน

2. เติมพลังระหว่างวันด้วยอาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต
เช่น คุกกี้ ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท หรือจะเป็นเมล็ดธัญพืช ถั่วต่างๆ ผลไม้ โยเกิร์ต หรือนม ควรมีติดโต๊ะทำงานไว้ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย ไม่ทำให้ง่วงและแก้หิวระหว่างมื้ออาหาร

3. มื้อกลางวันให้กินข้าวในปริมาณเท่าเดิม
แต่เพิ่มการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะร่างกายจะเผาผลาญพลังงานไปกับการทำงานมากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลาซาร์ดีน ถั่ว และควรกินอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับสัปดาห์ละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ควรกินผักทุกมื้อ และอย่าลืมกินผลไม้หลังอาหารด้วย เพราะวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารจะช่วยให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

4. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด มันจัด ในช่วงมื้อกลางวัน
เพราะไขมันและเกลือจะถูกสะสมไว้ในร่างกาย จะทำให้เคลื่อนไหวช้า รู้สึกเอื่อยและหมดแรงทำงานได้ง่ายๆ

5. กินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือเป็นประจำ
เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบีและอี จะช่วยเสริมสร้างพลังให้สมองแล่นและปลอดโปร่ง

6. ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
ควรวางขวดน้ำไว้ที่โต๊ะทำงานเพื่อเป็นการเตือนว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยชั่วโมงละ 1 แก้ว นอกจากจะช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก ช่วยลดอาการง่วงนอนได้เป็นอย่างดีแล้วน้ำยังช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกไม่ทำให้เป็นเส้นเลือดขอดอีกด้วย


ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก gigail.com
[Continue Reading]

ทราบหรือไม่! อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์ คืออะไร


เมื่อในร่างกายของผู้หญิงได้มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ อยู่ภานในร่างกาย เมื่อรู้ตัวว่าความเป็นแม่กำลังจะคลืบคลานเข้ามาใกล้ ความรู้สึกดีใจจะทะลักทะลวงออกมาทันที รู้สึกรัก รู้สึกอยากดูแล อยากเห็นหน้าหนูน้อยที่อยู่ในครรภ์ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ การตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจมากๆ ต้องเรียยนรู้กับทุกๆ เรื่อง ทุกๆ อย่าง รวมไปถึงอาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์
ซึ่งอาการเหล่านี้คุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายต้องเคยเจอแน่ๆ แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่  เชื่อว่าเมื่อได้เจอกับ 6 อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์แบบนี้แน่นอนค่ะ คุณแม่มือใหม่ ทราบหรือไม่! อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์ คืออะไร ถ้าไม่ทราบ วันนี้ จะพาคุณแม่มือใหม่ทั้งหลายไปรู้จักกับ 6 อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์ กันค่ะ 9 เดือนที่มีหนูน้อยอยู่ในท้อง เป็นช่วงที่คุณแม่ต้องให้ความสนใจใส่ใจกับทุกๆ กิริยาบถของร่างกายรวมไปถึงการหายใจด้วยเชียวนะค่ะ คิดว่าตอนนี้คุณแม่มือใหม่หลายๆ ท่านก็คงจะอยากรู้แล้ว่า 6 อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์ ที่ นำมาฝากกันในวันนี้จะเป็นอย่างไร แบบไหน แล้วอาการแปลกๆ ระหว่าตั้งครรภ์ที่ว่านี้จะอันตรายหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นแล้วเราไปดูกันเลยค่ะ


6 อาการแปลกๆ ระหว่างตั้งครรภ์

1. เจ็บกระดูกใต้อก
“นั่งก็เจ็บ นอนก็เจ็บ ทำไม่ไม่สบายตัวอย่างนี้นะ” อาการเจ็บแปลบบริเวณใต้อก ไม่ได้เป็นอาการที่ร้ายแรง แต่บางคนอาจจะปวดจนรู้สึกทรมาน บางคนปวดแค่พอให้หงุดหงิดใจ เหมือนมีอะไรมาตำๆ บริเวณใต้อกด้านใดด้านหนึ่ง เกิดจากมดลูกขยายตัวไปกดทับอวัยวะต่างๆ โดยที่อาการเจ็บใต้อกที่ไปกดทับกระดูกทำให้เจ็บกระดูกใต้อกนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อคลอดแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาที่เกิดขึ้นหลังคลอดแน่นอนค่ะ

วิธีป้องกัน
เลือกบราที่พอดีกับหน้าอกที่ขยายขึ้น อย่าทนใส่บราขนาดเดิม ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพราะยิ่งไปเพิ่มการกดทับของกระดูกมากขึ้น และควรเลือกบราที่สวมใส่สบาย ไม่มีโครงมากดทับ ใครที่ติดการนั่งหลังค่อม ต้องพยายามยืด นั่งหลังตรง โดยมีหมอนรองไว้ด้านหลัง เพื่อให้บริเวณใต้อกมีเนื้อที่มากขึ้น บรรเทาอาการเจ็บโดยการนั่ง แล้วยกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ แล้วให้อีกคนช่วยดึงแขนคุณแม่ขึ้นทีละข้างช้าๆ สลับไปมา จะช่วยลดอาการเจ็บกระดูกได้



2. มีลมในท้อง
“เรอจนอายเพื่อนข้างโต๊ะแล้วนะ ทำยังไงดีเนี่ย” เวลาเราพูด กินอาหาร เกิดความเครียด ในลำไส้มีแบคทีเรียมากเกินไป ล้วนทำให้เกิดลมในท้อง ส่งผลให้เรารู้สึกไม่สบาย อึดอัด ปวดมวนท้อง แต่ถ้าได้ผายลม หรือเรอ ก็จะทำให้สบายท้อง สบายตัวมากขึ้น
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อึดอัด รำคาญกับอาการลมในท้อง ท้องอืด เรอเหม็นเปรี้ยว ผายลม ยิ่งถ้าต้องทำงานอยู่นอกบ้านด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเพิ่มขึ้นไปอีก (บางทีก็ผายลม หรือเรอออกมาชนิดห้ามไม่ทัน ยั้งไม่อยู่กันเลย) สาเหตุที่ทำให้มีอาการแบบนี้ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังเป็นเพราะมดลูกที่ใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะอาหาร เนื้อที่ในการบรรจุอาหารจึงน้อยลงกระเพาะก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ย่อยอาหารไม่สะดวก จึงเกิดมีลมในกระเพาะขึ้นได้ ยิ่งเมื่ออายุครรภ์หลังจาก 7 เดือนไปแล้ว บางท่านอาจได้ยินเสียงโครกครากในท้อง และรู้สึกว่ามีลมมากจนท้องกลมเป่งก็เป็นได้ค่ะ

วิธีป้องกัน
เมื่อเนื้อที่ในกระเพาะอาหารมีน้อยลง ดังนั้นจากที่เคยกินข้าวมื้อละ 1 จานพูนๆ ก็อาจจะเหลือสัก เกือบ ๆ 1 จาน แล้วเว้นช่วงสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยกินอีกนิดหน่อย คือ การซอยย่อยมื้ออาหารให้เป็นมื้อเล็ก ๆ แต่ถี่ขึ้นกระเพาะอาหารจะได้ย่อยอาหารได้สะดวกขึ้น คุณแม่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป กินอาหารที่ย่อยง่ายๆ เช่น เนื้อปลา ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ อาหารทอด เพราะเป็นอาหารย่อยยาก และเครื่องดื่มที่มีแก๊ส อย่างน้ำอัดลม หรือโซดา คุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อยาขับลมมากินเองนะคะ ถ้าอึดอัดมากจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ไปพบคุณหมอดีกว่าค่ะ



3. ปัสสาวะเล็ด
“แย่แล้ว ทำไมเราถึงอั้นไม่ได้ล่ะ อะไรๆ ข้างในต้องหย่อนยานแน่เลย” ความจริงอาการปัสสาวะเล็ด ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์เท่านั้น สังเกตดีๆ คนปกติธรรมดาๆ ก็เป็นกันค่ะ แต่อาจจะเกิดไม่บ่อย ปกติเราจะควบคุมการไหลปัสสาวะของเราได้ แต่ในบางกรณี เมื่ออยู่เหนือการควบคุมก็ทำให้ปัสสาวะเล็ดลอดออกมาได้เช่นกัน เนื่องจากในช่องท้องมีแรงดันเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม หัวเราะ หรือเวลาที่เรายกของหนัก ๆ (บางคนเกิดอาการกลัวมาก ๆ ก็ปัสสาวะเล็ดได้เหมือนกัน) สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ระบบทางเดินปัสสาวะมีการขยายตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง ประกอบกับลูกในท้องตัวโตขึ้น มดลูกขยายตัวจนกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้บ่อยๆ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 3 เดือนสุดท้าย

วิธีป้องกัน
เข้าห้องน้ำทันทีที่รู้สึกปวด ถึงแม้บางคนบอกว่าเบื่อที่จะต้องลุกขึ้นเดินบ่อย ๆ แต่การกลั้นปัสสาวะไว้นานเกินไป จะทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งถ้ามีอาการไอ จาม หัวเราะ แล้วปัสสาวะเล็ดออกมา ยิ่งทำให้คุณแม่รำคาญกว่าการเดินเข้าห้องน้ำบ่อยๆ อีกค่ะ คุณแม่บางคน ไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย จึงใช้วิธีดื่มน้ำให้น้อยลง ก็เป็นวิธีที่ผิดเช่นกันค่ะ การดื่มน้อยไม่ได้ ช่วยแก้ปัญหานี้ และอาจเพิ่มปัญหาสุขภาพอื่นตามมาได้ เช่น อาการท้องผูก หลังคลอดอาการปัสสาวะเล็ดก็จะค่อยๆ หายไปเองค่ะ ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าคุณแม่ยังมีอาการต่อเนื่อง ก็ควรปรึกษาคุณหมอค่ะ



4. เหงือกอักเสบ
“ทำไมตอนท้องถึงมีเลือดออกที่เหงือก แล้วรู้สึกเจ็บๆ ช้ำๆ ด้วยนะ ทั้งที่ก็ดูแลฟันอย่างดีมาตลอด” โดยปกติอาการเหงือกอักเสบ จะเกิดจากการดูแลทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ มีคราบอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเกาะบนผิวฟัน ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีกลายเป็นคราบหินปูนเกาะ เป็นที่สะสมของเชื้อมากขึ้นไปอีก ทำให้เหงือกและคอฟันเกิดการอักเสบลุกลาม โดยอาการเริ่มต้นคือ เมื่อแปรงฟันก็มีเลือดออก เหงือกบวม ช้ำ สีคล้ำขึ้น มีกลิ่นปาก ในช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถทำฟันได้ จึงละเลยในการไปหาหมอฟัน แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องดูแลฟันมากขึ้น ถ้ามีฟันผุหรือถึงเวลาขูดหินปูนก็ต้องไปตามนัดที่ทันตแพทย์กำหนด เนื่องจากถ้าภายในช่องปากไม่ได้รับการดูแลที่ดี มีแบคทีเรียสะสมอยู่ภายในช่องปาก ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุ และเหงือกอักเสบขึ้นมา ข้อควรระวังอีกเรื่องคือ คุณแม่ที่เป็นเหงือกอักเสบมีภาวะเสี่ยงที่ลูกน้อย จะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย ลูกไม่แข็งแรง เนื่องจากเชื้อโรคจะไปตามกระแสเลือดเข้าสู่รก และตัวลูกน้อยในท้อง ดังนั้นอย่าปล่อยปละละเลยเรื่องฟันเด็ดขาดนะคะ

วิธีป้องกัน
แปรงฟันโดยใช้ขนแปรงนุ่มๆ แปรงเบ ๆ ทุกครั้งหลังกินอาหาร ถ้าแปรงไม่ได้ให้บ้วนน้ำ แต่อย่างน้อยต้องแปรงวันละ 2 ครั้ง และควรใช้ร่วมกับไหมขัดฟัน หมั่นไปพบทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูนตรวจเช็กว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับฟันหรือเหงือกหรือไม่ อย่างสม่ำเสมอ




5. เหงื่อออกตอนกลางคืน
“อากาศก็ไม่ร้อน ทำไมเราถึงเหงื่อออกตอนกลางคืนนะ ผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย!” เป็นเรื่องปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่จะขี้ร้อนมากขึ้น มีเหงื่อออกมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่อากาศเย็นสบายก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่า ภายในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์มีการเพิ่มปริมาณเลือด เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกน้อย ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว จึงทำให้ร่างกายเกิดความร้อนได้มากกว่าปกติ เมื่อร่างกายร้อนก็ต้องมีการระบายออกด้วยกลไกของร่างกาย คุณแม่จึงมีเหงื่อออกมากขึ้นนั่นเองค่ะ

วิธีป้องกัน
ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องป้องกันแต่อย่างใด แต่เป็นวิธีที่เลือกปฏิบัติให้ถูกต้องซะมากกว่า กินอาหารที่ช่วยลดความร้อนในร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้สด ธัญพืชต่างๆ เพราะอาหารจำพวกนี้จะมีวิตามินเกลือแร่อยู่สูง มีโพแทสเซียมมาก ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ดื่มน้ำสะอาดในอุณหภูมิปกติ ก็สามารถช่วยลดความร้อนได้ดีเช่นกัน เลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าเบาสบาย ซับเหงื่อได้ดี ใส่แล้วไม่อึดอัด



6. สีผิวเข้มขึ้น มีเส้นคล้ำที่หน้าท้อง
“ทำไมผิวหนังบางที่ ถึงมีสีเข้มขึ้นล่ะ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในร่มผ้านี่น่า” ถึงแม้คุณแม่จะมีผิวขาวเป็นทุนเดิม หรือจะมีผิวสีน้ำผึ้งเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อตั้งครรภ์ บริเวณผิวหนังที่มีสีเข้มกว่าปกติ อยู่แล้ว เช่น ลานนม จุกนม รักแร้ หน้าท้อง เส้นตามลำคอ จะมีสีเข้มขึ้น คุณแม่บางคนเป็นกังวล พยายามขัดถูใช้สครับทั้งหลายแหล่มาขัด และทาครีมบำรุงผิว ก็ต้องขอบอกว่า ทำช่วงนี้ ก็ยังไม่ได้ผลค่ะ เพราะสีผิวที่คล้ำขึ้น เกิดจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ไปกระตุ้นเม็ดสีใต้ผิวหนังให้มีการทำงานขึ้น สีผิว จึงคล้ำขึ้น และในแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนอาจจะไม่เปลี่ยนมากมายนัก แต่ทำให้บางคนกลุ้มใจมากเหมือนกัน

วิธีป้องกัน
ต้องบอกว่าไม่มีวิธีป้องกันจริง ๆ ค่ะ ในเรื่องนี้ เพราะเกี่ยวกับฮอร์โมนในร่างกายที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่พอจะช่วยได้บ้างคือ การบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเหมาะกับผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น และการดื่มน้ำสะอาด กินผักผลไม้เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี รับรองว่าได้ผลระยะในช่วงหลังคลอดอีกด้วย และเจ้ารอยดำทั้งหลาย ก็จะค่อย ๆ จางหายไปหลังจากคลอดลูกแล้วเช่นกันค่ะ



ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก gigail.com
[Continue Reading]

ทราบหรือไม่อะไรคือ…ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย


การพักผ่อนของลูกน้อยเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ยิ่งช่วงเดือนแรกๆ นั้น การพักผ่อนของหนูน้อยนั้นคือการพัฒนาการเจริญเติบโตของเขานั้นเอง แล้วก็เชื่อว่าคุณแม่หลายๆ ท่านนั้นคงเคยเจอกับ ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย ทำให้หนูน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้นน้องหนูของคุณแม่ก็จะมีอาการงอแง
ซึ่งทำให้การเลี้ยงดูนั้นยากขึ้น การเดิม คุณแม่ทั้งหลายทราบหรือไม่อะไรคือ…ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย? เชื่อว่าคุณแม่หลายๆ ท่านนั้นยังคงไม่ทราบหรือบางคนทราบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวิธีรับมือกับ ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย ใช่ไหมหล่ะค่ะ วันนี้ทาง ก็เลยนำเอาข้อมูลต่างๆ ที่้เกี่ยวกับ ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย รวมไปถึงวิธี ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย มาให้คุณแม่ทั้งหลายได้ทราบกันคะ ทาง ทราบดีว่า ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย คงเป็นเรื่องที่ทำให้คุณแม่หลายๆ ท่านเป็นกังวลใจ แต่ทว่าวันนี้ มาช่วยแก้ไขปัญหาของลูกน้อยให้คุณแม่ทุกท่านได้สบายใจกันแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณแม่ทั้งหลายตามมาดู ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย พร้อมกับวิธีรับมือกับ ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย กันเลยค่ะ


6 ปัญหาที่รบกวนการนอนของลูกน้อย
1.ปวดท้องโคลิก
หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า ร้องร้อยวัน แม่ฝนเล่าว่า เมื่อน้องภูอายุ 2 เดือนเริ่มออกอาการโคลิก คือ ทุกๆ วันเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง-สี่ทุ่ม น้องภูจะร้องไห้จ้าแบบไม่มีสาเหตุ พยายามปลอบให้หยุดร้องยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องหนัก เสียงร้องดังแหลม เกร็งแขนและขาไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น แม้ว่าจะอุ้มหรือให้นม สงสัยว่านี่คืออาการของโคลิกใช่หรือไม่คะ คุณหมอบอกมา เด็กทารกที่เป็นมักจะเริ่มมีอาการโคลิกตั้งแต่ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังคลอดปวดท้องโคลิกเป็นอาการซึ่งไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดเด็กจะร้องไห้ ซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาเดิม ๆ โดยมากจะเป็นช่วงเวลาเย็นๆ ใกล้ค่ำ หรือช่วงรอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน อาการอาจจะรุนแรงขึ้นในช่วงอายุ 6-8 สัปดาห์ แล้วหายไปเองเมื่อเด็กอายุประมาณ 3 เดือน ทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าโคลิกเกิดจากลมในท้อง ซึ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างวัน ดังนั้น การให้ยาขับลมอาจได้ผล การอุ้มพาดบ่าหรือให้นอนคว่ำบนตักคุณพ่อคุณแม่ พร้อมลูบหลังไปด้วยอาจช่วยบรรเทาอาการ

ข้อสังเกต
- ลูกร้องคล้ายปวดท้อง โดยเกร็งท้อง มือ และขางอเข้าหาตัว
- ร้องเป็นระยะ วันละ 1-2 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นตอนเย็นหรือค่ำ โดยมีอาการครั้งละ 1-2 ชั่วโมง
- ระหว่างที่ไม่มีอาการลูกดูปกติ แข็งแรงดี
- ไม่มีอาการแสดงว่าหิว

Mom can do
- ก่อน อื่นตัวคุณพ่อคุณแม่เองต้องไม่หงุดหงิดโมโหลูกหรือเขย่าตัวลูกเวลาที่ลูก ร้องไห้ ให้อุ้มลูกเดินไปมา เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือเปิดเพลงเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียดทั้งตัวคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย



2.ความหิว
กระเพาะน้อยๆ ของลูกตัวเล็ก แม่มลเล่าว่า น้องเกรทอายุ 4 เดือน กินนมแม่อย่างเดียว กลางคืนตื่นทุก ๆ 3 ชั่วโมง และช่วงใกล้เช้าทุกชั่วโมง ตื่นมาก็ดูดนมนิดหน่อยถึงหลับต่อได้ แต่แม่แทบไม่ได้นอนเลยค่ะ จะแก้ไขอย่างไรได้บ้างคะ คุณหมอบอกมา เนื่องจากทารกที่อายุยังไม่ถึง 6 เดือน โดยมากมักจะตื่นมากลางดึกเพราะหิว หลังจากให้นมยามดึก เด็กโดยมากก็สามารถนอนหลับต่อได้เองค่ะ แต่สำหรับบางคนที่อายุเกิน 6 เดือนไปแล้วก็ยังคงตื่นมากลางดึกเพื่อกินนม คงต้องมาดูว่า ลูกร้องเพราะหิวหรือว่าเป็นเพราะความเคยชิน หากคุณแน่ใจว่าลูกได้รับนมอย่างพอเพียงช่วงก่อนนอน แต่ลูกยังคงร้องเพราะติดการกินนมในมื้อดึก ขอให้ลองลดปริมาณนมลง แต่หากว่าลูกไม่ยอมกินนมในตอนกลางวัน แต่มาเน้นกินนมตอนกลางคืนแทน แสดงว่าระบบการกินไม่ปกติค่ะ แก้ไขโดยให้ลูกกินน้ำเปล่า หรือผสมนมให้เจือจางในตอนกลางคืน ซึ่งจะทำให้ลูกหิวมากขึ้นในช่วงกลางวัน เมื่อให้นมในตอนกลางวันลูกจะกินนมมากขึ้นเองค่ะ

ข้อสังเกต
- ลอง จดบันทึกการนอนและการกินในรอบวันของลูก โดยบันทึกทั้งพฤติกรรม เช่น การดูดไปเรื่อย ๆ การดูดอย่างหิวโหย เวลาที่ใช้ในแต่ละมื้อ รวมทั้งระยะห่างระหว่างมื้อ
- หาก ลูกดูดไปเรื่อย ๆ อาจเป็นไปได้ว่า เพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่ใช่เพราะความหิว ต้องพยายามให้หยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแล้ว หลังจากนั้นพาเข้านอน

Mom can do
- หากสังเกตว่าลูกเคยชินกับนมมื้อดึกมากกว่าเป็นเพราะหิว ลองวิธีต่อไปนี้
- ให้น้ำแทนนม อาจค่อย ๆ ผสมนมให้เจือจางลงเรื่อย ๆ และค่อย ๆ ลดเวลาของการให้นมแต่ละครั้ง
- เมื่อลูกร้องควรรอสัก 5 นาที ก่อนเข้าไปหา เพราะลูกอาจหลับต่อได้ด้วยตัวเอง
ก่อน ให้นมมื้อดึก ต้องมั่นใจว่าลูกหิวจริง ๆ เพราะการที่ให้ลูกตื่นขึ้นมากลางดึกสงบลงด้วยการให้นมเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ถ้าทำอย่างนั้นบ่อย ๆ ลูกจะตื่นขึ้นมา เพราะความเคยชินไม่ใช่จากความหิว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกตื่นขึ้นมาเพราะเปียกแฉะ ร้อน หนาว หรือฟันกำลังขึ้น เมื่อลูกโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่จะพบว่า ระยะห่างระหว่างมื้อของนมมื้อดึกนานขึ้น จนในที่สุด ลูกจะงดนมมื้อดึกได้ด้วยตัวเอง



3.ฟันกำลังขึ้น
ฟันที่กำลังขึ้นอาจสร้างความเจ็บปวดให้ลูกจนร้องไห้ตลอด ทำให้ลูกนอนหลับได้ไม่ยาวในช่วงกลางคืน แม่ปุ๋มเล่าว่า น้องน้ำมนต์อายุ 6.5 เดือน ช่วงกลางคืนที่เคยนอนยาวก็ตื่นมาร้องทุก 3-4 ชั่วโมง กลางวันก็งอแงต้องอุ้มปลอบกันทั้งวัน สังเกตเห็นที่เหงือกมีตุ่มขาวๆ ขึ้นมาไม่ทราบว่าเป็นการงอแงจากอาการฟันขึ้นหรือไม่คะ คุณหมอบอกมา โดยทั่วไปเด็กทารกเริ่มมีฟันขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือนและจะต่อเนื่องไปจนอายุ 3 ปี โดยทารกแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกันไป คุณแม่สามารถช่วยให้ลูกน้อยหายเจ็บปวดและช่วยให้คุณและลูกน้อยนอนหลับสนิทใน ตอนกลางคืนได้ดังนี้ค่ะ ยาพาราเซตามอลสำหรับเด็กช่วยให้ดีขึ้นเหมาะ กับเด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป) หรืออาจใช้เจลสำหรับทาฟันที่กำลังขึ้นเพื่อให้รู้สึกชา ซึ่งเมื่อทาแล้วเด็กจะรู้สึกชาเพื่อบรรเทาอาการปวด และให้เด็กนอนหลับในช่วงดังกล่าว แต่ข้อนี้ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ยานะคะ ใช้สมุนไพรไทย เช่น ใบแมงลักโขลกให้ละเอียดผสมเกลือเล็กน้อย ทาบริเวณเหงือกที่ปวดของลูก อาจช่วยบรรเทาอาการได้ หรือต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย ดื่มวันละ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย ดื่มวันละ 2
ครั้ง

ข้อสังเกต
- ลูกมีอาการหงุดหงิด งอแงมากขึ้น และร้องมากขึ้นในเวลากลางคืน
- น้ำลายไหลมาก แก้มของลูกจะเป็นสีแดง เหงือกของลูกจะบวมแดง
- ลูกอยากดูดนมแม่หรือนมขวดมากขึ้น
- ลูกจะนอนหลับไม่สนิท

Mom can do
- ถ้าเหงือกของลูกไม่บวมหรือเจ็บจนแตะไม่ได้ ให้คุณแม่ล้างมือให้สะอาดแล้วลองใช้นิ้วเข้าไปนวดเหงือกของลูกเบาๆ อาจช่วยให้ดีขึ้นได้
- ถ้าเหงือกมีอาการบวมแดงมาก ควรปรึกษาหมอฟัน

4.เจ็บป่วยเฉียบพลัน
เช่น ท้องเสีย แพ้อาหาร แม่อิงเล่าว่า น้องอายุมิ อายุ 8 เดือน ตอนกลางวันร่างกายปกติดี แต่หลังจากการตื่นมาให้นมมื้อดึกแล้ว สักพักก็ตื่นและร้อง อาเจียน เป็นมา 2 คืนแล้วไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดีคะ คุณหมอบอกมา การที่คุณแม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติต่างๆ เวลาที่ลูกป่วยไข้ไม่สบายนั้น ข้อมูลจากคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณหมอวินิจฉัยอาการและรักษาลูกน้อยได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่ง ขึ้น เช่น อาการไข้ การกินนม อาเจียน การขับถ่าย หรืออาการอื่นๆ

ข้อสังเกต
- งอแง ไม่ยอมกินนม อาหาร
- มีไข้ ซึมผิดปกติ อาเจียน หรือท้องเสีย หรือมีผื่นขึ้นตามตัว
- ต้องการให้อุ้มตลอดเวลา
- หอบ หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการชัก

Mom can do
- หมั่นสังเกตอาการของลูก หากลูกมีอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรรีบพาไปพบคุณหมอทันทีค่ะ
- จดอาการที่เป็น อาหารที่กิน พฤติกรรมการเล่น ก่อนเกิดอาการ แล้วแจ้งคุณหมอ อย่างละเอียด



5.เจ็บป่วยเรื้อรัง
เด็กที่เป็นโรคประจำตัวเช่น หอบ หืด ภูมิแพ้ แม่นันท์เล่าว่า น้องนนท์อายุ 11 เดือน จะมีอาการหายใจดังครืดคราด คล้ายกับอาการหอบทุกครั้งเมื่อเมื่ออากาศเย็น ควรทำอย่างไรดีคะ
คุณหมอบอกมา คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความอบอุ่นอยู่ใกล้ๆ ลูก ขณะหอบลูกน้อยจะนอนลำบาก คุณแม่ควรให้ยาตามที่คุณหมอสั่งและอุ้มลูกน้อยไว้บนตักประคองตัวลูกไว้ อาจมีหมอนวางบนตักลูกน้อย เพื่อลูกน้อยจะได้ซบหน้าลงบนหมอนนั้นจนกว่าจะหายใจสะดวกขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นควรไปพบคุณหมอ

ข้อสังเกต
- หลีกเลี่ยงข้าวของเครื่องใช้ที่สะสมฝุ่น
- ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอนลูก
- ใช้ผ้าปูที่นอนชนิดพิเศษซึ่งป้องกันไรฝุ่นได้
- ดูดฝุ่นเครื่องนอนของลูกอย่างสม่ำเสมอ
- คอยสังเกตและเตรียมรับมือกับอาการป่วยของลูกไว้ให้พร้อมค่ะ

Mom can do
- ถ้าลูกมีอาการเจ็บป่วยเรื้องรังอื่น ๆ ที่รบกวนการนอนให้ปรึกษาคุณหมอถึงวิธีการช่วยบรรเทาอาการของโรคนั้น ๆ เพื่อให้ลูกหลับได้สบายขึ้นในตอนกลางคืน ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจโรคของลูกด้วย เพราะลูกอาจจะหงุดหงิดง่าย งอแงร้องกวนตลอดคืน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเห็นใจ และมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่โมโหหรือหงุดหงิดกับสิ่งที่ลูกแสดงออกมา


6. ลูกติดพ่อแม่มาก
เกิดขึ้นจากความกังวลในการแยกจากคุณพ่อคุณแม่ แม่ปรางเล่าว่า น้องซันอายุ 9 เดือน ช่วงนี้ลูกมักมาร้องตื่นกลางดึกบ่อย ต้องสลับกันอุ้มพาเดินรอบห้องนอนจนกว่าจะหลับคาอก แล้วจึงไปวางที่นอน แต่บางครั้งหลับได้ 1-2 ชั่วโมงก็ตื่นร้องอีก ไม่ทราบเกิดจากสาเหตุใด คุณหมอบอกมา ลูกติดพ่อแม่มาก เด็กบางคนติดพ่อแม่มากกว่าเด็กคนอื่น หลายคนเริ่มติดพ่อแม่ในขั้นของพัฒนาการด้านการรับรู้สภาพความเป็นจริง ซึ่งอยู่ในช่วงอายุประมาณ 8 เดือน เด็กเริ่มเรียนรู้ว่า พ่อแม่และลูกไม่ใช่คนเดียวกัน ส่วนใหญ่จึงแสดงออกด้วยการติดพ่อแม่มากขึ้นในระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 เดือน และถูกเรียกว่า ความกังวลในการแยกจาก ควรฝึกให้ลูกนอนหลับได้เองก่อนเข้าสู่ช่วงนี้ แม้ช่วงนี้จะยังฝึกให้เขาสงบด้วยตัวเองได้ยากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจหาวิธีที่คิดว่าเสริมความมั่นใจกับลูกในระดับที่เขาต้องการ และใช้เวลาสักระยะก่อนตัดสินใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ลูกจะเข้าใจในที่สุดว่าการที่คุณพ่อคุณแม่จากไปไม่ใช่การทอดทิ้งเขา

Mom can do
วิธีฝึกลูกน้อยให้หลับสบาย
- พา ลูกไปนอนบนเตียงขณะที่ลูกยังตื่นอยู่ทุกครั้ง หากลูกหลับระหว่างให้นมมื้อก่อนนอน ลองขยับเวลากินนมให้เร็วขึ้นเพื่อให้ลูกอิ่มก่อน หรืออาจกระตุ้นที่นิ้วหัวแม่เท้าให้ตื่นขณะวางลงบนเตียง
- พูดกับลูกด้วยประโยคเดิมทุกครั้งเมื่อพาลูกไปนอนบนเตียง เพื่อช่วยกระตุ้นเตือนให้ทราบว่าได้เวลานอนแล้ว
- ให้ลูกหลับเองด้วยวิธีเดียวกัน ไม่ว่าจะพาลูกไปนอนบนเตียงตอนกลางคืน งีบหลับตอนกลางวัน หรือพากลับไปนอนในกรณีตื่นขึ้นมากลางดึก (หากนอนตอนกลางวัน อาจบอกลูกว่าถึงเวลานอนแล้ว ด้วยประโยคเดียวกับที่บอกเป็นกิจวัตรยามเข้านอนตอนกลางคืนก็ได้)
- ควบคุมทั้งอากาศ เสียง แสงแดด บรรยากาศต่างๆ เพื่อให้ลูกนอนหลับได้นานและยาวขึ้น




ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก gigail.com
[Continue Reading]

อาหารโปรดของลูกน้อย! คุณแม่กำหนดได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์



การกินของลูกน้อยถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านนั้นเครียดกันเลยทีเดียว แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่มือใหม่ด้วยแล้วหล่ะก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ที่บอกว่าการกินของลูกน้อยทำให้คุณแม่ปวดหัวเพราะเนื่องจากว่าในขณะที่คุณแม่เลือกอาหารไปป้อนหนูน้อยแต่หนูน้อยนั้นไม่ยอมรับเนื่องจากว่าเวลาให้ทานอะไร

ถ้าน้องหนูไม่ชอบก็จะปฏิเสธท่าเดียวเลยแล้วยิ่งไม่รู้ว่าน้องหนูของคุณแม่นั้นชอบทานอะไรแล้วหล่ะก็การเลือกอาหารให้ลูกน้อยจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากๆ สำหรับคุณแม่ แต่วันนี้ค่ะ จะมาบอกคุณแม่ทั้งหลายเกี่ยวกับ อาหารโปรดของลูกน้อย ว่า อาหารโปรดของลูกน้อย! คุณแม่กำหนดได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ เมื่อรู้ตัวว่ามีอีกหนึ่งชิวีตน้อยๆ อยู่ในครรภ์ คนที่เป็นแม่นั้นต้องใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีอีกทั้งอาหารก็ต้องเลือกแต่อาหารที่มีประโยชน์ทั้งนั้น แล้วยิ่ง อาหารโปรดของลูกน้อย นั้นกำหนดได้จากการรัปประทานอาหารของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์แล้วหล่ะก็ ก็ยิ่งเป็นเรื่องทีดูแลง่ายขึ้นแน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้น ขอให้คุณแม่ทั้งหลายมาลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนด อาหารโปรดของลูกน้อย กันค่ะ รับรองว่าทริปที่นำมาฝากนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ทั้งหลายแน่นอนค่ะ


กำหนดอาหารโปรดของลูกน้อยตั้งแต่ตั้งครรภ์

อาหารที่แม่กินระหว่างตั้งครรภ์ไม่เพียงช่วยสร้างพัฒนาการต่างๆ ให้ทารกในรังไข่เท่านั้นแต่เป็นการกำหนดอาหารที่ลูกชอบเมื่อโตขึ้นด้วย โดยในแต่ละวันทารกก็จะกินน้ำคร่ำ 2-3 ออนซ์ นักวิจัยจาก โมเนล เคมีคอล เซ้นซ์ เซ็นเตอร์ ได้ทดลองให้แม่ท้องกลุ่มหนึ่งกินแคปซูลกระเทียม อีกกลุ่มกินแคปซูลน้ำตาล แล้วเก็บตัวอย่างน้ำคร่ำเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นจำแนก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็สามารถระบุได้ว่า กลิ่นน้ำคร่ำกลิ่นไหนเป็นของแม่กลุ่มไหน แสดงว่าน้ำคร่ำจะมีรสและกลิ่นเหมือนกับอาหารและน้ำ ที่แม่กินเข้าไประหว่างวัน ตัวอย่างของอาหารที่จะส่งรสและกลิ่นต่อไปยังน้ำคร่ำหรือนมแม่ เช่น วานิลลา แครอต กระเทียม ผักชี นักวิจัยยังพบอีกว่า การจำรสชาติและกลิ่นที่ทารกได้สัมผัสตั้งแต่ในท้อง จะส่งผลไปยังอาหารที่เด็กชอบในอนาคตด้วย ถ้าอยากให้ลูกกินผักและผลไม้ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เริ่มต้นได้คือ ตั้งแต่ในท้องแม่ ฉะนั้นแม่ท้องควรเริ่มกินผักซะเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!!


ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับแม่และเด็กจาก gigail.com
[Continue Reading]

ยิ่งช้อปปิ้ง ยิ่งมีความสุข ! เรื่องจริงที่คุณคาดไม่ถึง




              พอใกล้สิ้นเดือนเข้ามาทุกที สาว ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเงินเดือนกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะได้เตรียมแฟชั่นใหม่ เทรนด์ใหม่ สำหรับการช้อปปิ้งในเดือนนี้เอาไว้แล้ว เรียกว่าสืบมาหมดว่าอะไรอิน อะไรเอาท์ อย่างนี้เรียกว่า สาวนักช้อปตัวจริงเลยก็ว่าได้

              แต่พอพูดถึงการช้อปปิ้ง สาว ๆ รู้ไหมคะ ว่าจริง ๆ แล้วการช้อปปิ้งที่ถือเป็นเครื่องมือสุขภาพอย่างหนึ่งของเรา เพราะการช้อปปิ้งนั้น ส่งผลไปถึงทางด้านจิตใจอีกด้วย จะมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน

     รู้สึกเหมือนถูกรางวัล

              ยังไงน่ะหรือ...สาว ๆ เคยเดินผ่านร้านแบรนด์เนมที่แปะป้าย SALE กันไหมล่ะคะ ยิ่ง SALE เยอะเท่าไหร่ เหมือนกับถูกแม่เหล็กจากร้านเหล่านั้นดูดวิญญาณเข้าไปเลยทีเดียว 

              ยังค่ะ ยังไม่พอแค่นั้น แล้วเมื่อเราเดินหาของที่ถูกใจ เห็นจากราคาเต็มแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกรางวัล มันช่างถูกอะไรอย่างนี้ ยิ่งสภาพดีเกือบ 100% ด้วยแล้ว เรียกว่าพอจ่ายเงินเสร็จ เดินออกมาจากร้านก็เชิด ๆ ได้เลยค่ะ เพราะเราได้ของชิ้นโปรดที่ถูกมาก ๆ ไปแล้ว ส่วนสาว ๆ คนอื่นที่รอต่อคิวอยู่ด้านนอก ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

     จิตใจพองโต

              สาว ๆ จะรู้สึกอิ่มเอมไปกับการช้อปปิ้ง ยิ่งถ้าได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรืออะไรก็ตามที่ถูกใจ ยิ่งใส่ก็ยิ่งสวย ยิ่งใส่ก็ยิ่งดูดีแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าเราจะมีความสุขไปกับมันอย่างคาดไม่ถึง จะรู้สึกภูมิใจ ว่าเราช่างเหมาะกับชุดนี้เสียเหลือเกิน ยิ่งใส่ก็ยิ่งสวย คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ซื้อมา เป็นต้นค่ะ

       แถมสุขภาพดี มิตรสัมพันธ์อันสดใส

                การช้อปปิ้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง สาว ๆ รู้ไหมคะว่าช่วยเผาผลาญไขมันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งสาว ๆ คนไหนเดินได้นาน พอถึงออกมาจากแหล่งช้อปปิ้งนั้น เรียกว่า หุ่นดีกันเลยทีเดียว พอสุขภาพดีแล้ว แน่นอนส่งผลถึงจิตใจเป็นแน่ 

                นอกจากนั้น หากสาว ๆ ได้ไปช้อปปิ้งกับเพื่อน ๆ ก็ยิ่งสานสัมพันธ์ให้ยาวนานอีกด้วย มีกิจกรรมทำร่วมกัน ช่วยกันแชร์ความคิด ประสบการณ์ และเทคนิคต่าง ๆ ให้กัน

       ได้ผ่อนคลายความเครียด

                สาว ๆ อย่างเราย่อมมีเรื่องทุกข์ใจบ้าง จะอกหัก เจ้านายไม่รัก เพื่อนทิ้ง หรืออะไรก็ตาม เพียงแต่ได้ออกมาช้อปปิ้ง ก็เปรียบเสมือนออกมาเจอโลกอีกใบ เปลี่ยนสภาพจิตใจตัวเองให้สนุก ลืมความทุกข์ และเรื่องเครียดไปได้มากเหมือนกัน
              มีข้อมูลจากหนังสือ Sheconomics พลิกชีวิตการเงินแบบเศรษฐศาสตร์ ที่ได้นำเสนอกฎ 7 ข้อเพื่อการควบคุมการใช้จ่ายเงินด้วยอารมณ์ของคุณผู้หญิง

               1. รู้จักควบคุมอารมณ์ (Take Emotional Control) เพราะหากเราตระหนักและเข้าใจถึงบทบาทของอารมณ์ เราจะเริ่มควบคุมมันได้

               2. ก้าวข้ามความเชื่อเดิม ๆ (Go beyond Beliefs) ที่ว่าการช้อปปิ้งจะช่วยให้รู้สึกดีกับเรื่องต่าง ๆ ขึ้นได้

               3. คุมเงิน และอย่าให้เงินคุมเรา (Spend with Power) ตัดสินใจทางการเงินโดยยึดหลักเหตุผล และไม่ต้องพยายามตอบสนองความต้องการของผู้อื่น

               4. มีเป้าหมาย (Have Goals) ตั้งเป้าในการใช้จ่ายเงินกับของใหญ่ ๆ เช่น วางแผนท่องเที่ยว จะเป็นกำไรชีวิตที่ดีกว่า

               5. เผชิญหน้ากับหนี้ (Look Debt in the Face) กล้าเผชิญความจริง และวางแผนระยะยาวเพื่อจ่ายคืนให้หมด

               6. หาเพื่อนคู่คิดทางการเงิน (Share Financial Intimacies) เพื่อปรึกษา แลกเปลี่ยนหรือพูดคุย เพื่อปรึกษาและระบาย

               7. ตระหนักถึงวันพรุ่งนี้ (Know Tomorrow Comes) ใช้จ่ายอะไรก็ตาม อย่าลืมคิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วย

              เห็นแบบนี้แล้วบอกได้ว่า ใครว่าการช้อปปิ้งไร้ประโยชน์ สิ้นเปลือง แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้มา ก็คุ้มเหมือนกันนะคะ แต่อย่างไรก็ดี รู้จักใช้ รู้จักประมาณตนในการช้อปปิ้งก็สำคัญที่สุดค่ะ หากวันไหน เวลาใดสภาพการเงินเรายังไม่พร้อม ก็พักบ้างนะคะ ทุกอย่างมีล้วนคุณและโทษ อยู่ที่เราจะเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษนั่นเอง




    ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

อาการแบบไหน ต้องสงสัยติดเชื้อแคนดิด้าในช่องคลอด


              ยีสต์แคนดิด้าที่เจริญเติบโตมากเกินไปทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์หลายอย่าง Tess Dingle จะมาอธิบายให้ฟัง และบอกวิธีแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากมัน

              คุณอาจทราบมาก่อนแล้วว่าการเจริญของเชื้อ Candida albicans ที่มากเกินไปทำให้เกิดอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอด ต่อไปนี้คือสาเหตุที่ทำให้เป็นและจะรักษาหรือป้องกันได้อย่างไร

              C. albicans อาศัยอยู่ในร่างกายของเรา ในสภาวะปกติ มันมีหน้าที่สำคัญในการช่วยการทำงานของภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อสมดุลของจุลชีพที่อยู่ในลำไส้เล็กเกิดปั่นป่วนและแคนดิด้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น รูปแบบการเจริญของมันก็เปลี่ยนไปแล้วรูปแบบกลายมาเป็นเส้นใยแบบเชื้อรา แล้วเจริญแทรกเยื่อ


      คุณติดเชื้อแคนดิด้าหรือไม่?


                หากคุณมีอาการดังที่กล่าวต่อไปนี้ ก็อาจเกิดจากการมีเชื้อแคนดิด้าเติบโตมากเกินไป

                 ระบบทางเดินอาหาร : ปวดท้อง, ท้องผูก/ท้องเสีย, ท้องอืด, มีแก๊สในกระเพาะ, คันที่ทวารหนัก, อยากของหวาน ๆ แอลกอฮอล์ หรือคาร์โบไฮเดรต, มีคราบสีเหลือง-ขาวบนลิ้นหรือด้านในปาก

                 ผิวหนัง : คัน, ติดเชื้อ, เรื้อกวาง, สะเก็ดเงิน, สิว, แผลหายช้า, ติดเชื้อราใต้เล็บและใต้พับผิวหนังที่อับชื้น (เช่น ผื่นผ้าอ้อม)

                 อวัยวะเพศ-ทางเดินปัสสาวะ : คัน, มีหนองไหลออกมาพร้อมกลิ่นไม่พึงประสงค์ (ช่องคลอดอักเสบ-vaginitis), กระเพาะปัสสาวะอักเสบซ้ำซาก, เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

                 อารมณ์/ระบบประสาท : หงุดหงิดรำคาญ, เหนื่อยอ่อน, ปวดศีรษะ, สมาธิสั้น, หมดแรง, วิตกกังวล, อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ 

                 ภูมิคุ้มกัน : การตอบสนองของภูมิคุ้มกันไม่ดี, ติดเชื้อบ่อย และเป็นหวัด/ไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่บ่อย, แผลหายช้า/ระยะเวลาพักฟื้นยาว

                เมือกทำให้เกิดเป็นช่องแล้วทำให้เกิดอาการ "ลำไส้รั่ว" หรือ "leaky gut syndrome" จากนั้นสารพิษที่แคนดิด้าสร้างขึ้นก็ไหลไปตามกระแสโลหิตพร้อม ๆ กับสารอาหารที่ยังไม่ได้รับการย่อยอย่างถูกต้อง รวมทั้งตัวยีสต์เองด้วย


     อะไรที่ไปกระตุ้นให้ยีสต์เจริญมากเกินไป?

              ปัจจัยหลายอย่างทำให้จุลชีพในลำไส้เสียสมดุล ยาปฏิชีวนะทำลายแบคทีเรีย รวมถึงชนิดแบคทีเรียที่ดีคอยควบคุมแคนดิด้าเอาไว้ การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย ๆ, การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน, ยาคุมกำเนิด, คอร์ติโคสเตรอยด์ และยาฮอร์โมนอื่น ๆ เป็นสาเหตุให้ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ที่เยื่อเมือกที่ปกติจะเป็นกรดให้มีค่าสูงขึ้นกลายเป็นด่างและเหมาะกับการเจริญของแคนดิด้ามากขึ้น

              ในสภาวะปกติ เอสโตรเจนกระตุ้นการหลั่งกลูคากอน (glucagon-คือกลูโคสในรูปที่ถูกเก็บสะสม) จากผนังช่องคลอด แล้วถูกหมักด้วยเชื้อแลคโตบาซิลลัสชนิดต่าง ๆ (lactobacilli) ทำให้เกิดเป็นกรดแลคติค สภาพที่เป็นกรดนี้ช่วยป้องกันการติดเชื้อแคนดิด้า และป้องกันไม่ให้มันเจริญมากเกินไป หากกระบวนการถูกรบกวนก็จะเกิดการอักเสบในช่องคลอด (vaginitis หรือ vaginal thrush) ทารกเกิดใหม่มีภูมิคุ้มกันที่ไม่เจริญเต็มที่และถูกรุกรานจากเชื้อแคนดิด้าได้ง่ายที่บริเวณที่อุ่นและชื้น ซึ่งเชื้อนี้จะชอบมาก

              นอกเหนือจากสมดุลของจุลชีพและภูมิคุ้มกันที่ตกลงแล้วทำให้แคนดิด้ามีจำนวนมากขึ้นได้แล้ว อีกประการที่ทำให้มันเจริญขึ้นมาได้ก็คือมันได้รับอาหารมากเกินไป คนที่เคยต้มเหล้าจะทราบดีว่ายีสต์ชอบน้ำตาล แคนดิด้าที่เจริญมากเกินไปก็มักมาจากกลูโคสในเลือดสูงกินไป ไม่ว่าจะจากโภชนาการที่ไม่ดี หรือความไม่สมดุลทางสรีระ (ดื้ออินซูลินหรือทนต่อกลูโคสไม่ได้) การดื้ออินซูลินกระตุ้นให้กลูคากอนหลั่งออกมาจากตับและกล้ามเนื้อให้มากลายเป็นเชื้อเพลิงให้แก่แคนดิด้าต่อไป


     การรักษาและป้องกัน

              การจำกัดปริมาณกลูโคสนับเป็นขั้นตอนแรก อาหารที่ให้กลูโคสก็ได้แก่น้ำตาล เช่น น้ำตาลทั่วไป, น้ำผึ้ง, สารให้ความหวานทดแทน และฟรุคโตสจากผลไม้ คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี ทั้งขนมปังขาว, ขนมอบ, พาสต้าแป้งขาวและข้าว ล้วนมีค่าดัชนีกลัยซีมิค (glycemic index-GI) สูง กลูโคสในนั้นถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว 

              ให้ระวังน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในซอสต่าง ๆ พวกนี้บางทีอยู่ในส่วนผสมที่ลงท้ายด้วย "-ol" เช่น mannitol และ sorbitol หรือลงท้ายด้วย "-ose" เช่น dextrose, maltose และ sucrose ให้รับประทานอาหารสดที่มีประโยชน์ที่มีค่า GI ต่ำ และทำอาหารด้วยตัวเอง

      การบำบัดอย่างนุ่มนวล

                สเตฟานี่ เคอร์วิน นักสมุนไพรและนักบำบัดแบบ homoeopath จาก Aurora Wellness กล่าวว่า "ดิฉันใช้สมุนไพร andrographis, pau d’arco, น้ำมัน aniseed และน้ำมันออริกาโน่, กระเทียม, slipperyeim และโปรไบโอติคส์ ในการรักษา เกลือแร่สังกะสีและซีเลเนียมทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงและรักษาทางเดินอาหาร ดิฉันยังให้การรักษาแบบ homoeopathic คล้ายกับ "หนามยอกเอาหนามบ่ง" โดยการใช้แคนดิด้าที่มีฤทธิ์คล้ายกันเพื่อช่วยให้ร่างกายรับมือกับการติดเชื้อได้" เคอร์วิน เพิ่มเติมว่า การบริหารความเครียดเป็นสิ่งจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรทำให้เครียด "หากคุณไม่ทราบ การบำบัดก็มีแนวโน้มที่จะสำเร็จน้อยลง"

       ข่าวเกี่ยวกับกระเทียม

                การศึกษาของวารสาร Mycopathologia ระบุว่า กระเทียมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของยาต่อต้านเชื้อราทั่วไป ซึ่งนี่มีความสำคัญเพราะเชื้อแคนดิด้าบางสายพันธุ์สามารถพัฒนาต่อต้านยาเหล่านี้ได้

                ยีสต์, รา และอาหารหมักสามารถกระตุ้นให้แคนดิด้าเจริญมากผิดปกติและควรจะหลีกเลี่ยง อาหารเหล่านี้ได้แก่ ขนมปังที่ขึ้นฟูด้วยยีสต์, สารสกัดยีสต์, เห็ด, ชีส และแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ โยเกิร์ตธรรมชาติที่ไม่เติมความหวานมีแลคโตบาซิลลัสและอะซิดอฟิลัสซึ่งช่วยเพิ่มจุลชีพที่ดีในทางเดินอาหารให้สมดุล และให้ความสมดุลกับความเป็นกรด-ต่าง และควรรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำหรือใช้อาหารเสริมโปรไบโอติคส์ก็ได้

                วิตามินซี ก็ดูจะป้องกันการเจริญของแคนดิด้า นักวิจัยที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเทมเปิล ทำการวิจัยเกี่ยวกับหน้าที่ของวิตามินซี ที่ได้จากอาหาร (แอสคอร์บิค แอซิด) โดยทดสอบกับหนูตะเภาที่มีการติดเชื้อแคนดิด้า พบว่า หนูที่ได้รับแอสคอร์บิค แอชิด วันละ 0.5 ม.ก. มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้มากกว่าพวกที่ได้รับในปริมาณที่สูงกว่าวันละ 20 ม.ก. อยู่มาก หากคุณมีการติดเชื้อแคนดิด้าซ้ำซาก ให้เพิ่มการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น พริกแดงและบรอกโคลี (จะให้ดีควรทานดิบ ๆ เพราะวิตามินซีจะสูญเสียไปกับความร้อนในการปรุงอาหาร) หรือรับประทานในรูปอาหารเสริมให้ได้ถึงวันละ 1 กรัม






      ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

ปัญหาสุขภาพ จากความสวยของคุณสาว ๆ



              อยากสวยต้องอดทน...ทั้งทนยืนบนรองเท้าส้นสูง อึดอัดกับเสื้อผ้ารัดติ้ว แต่มันไม่ใช่แค่ความไม่สบายตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้น่ะสิ ปัญหาสุขภาพมากมาย จ่อคิวรออยู่หน้าห้องแต่งตัวของคุณแล้ว

           รองเท้าส้นสูง

              รองเท้าส้นสูงไม่ใช่สิ่งที่เท้าของคุณปลาบปลื้ม แต่รู้มั้ยว่าเวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูงเข่าของคุณจะแอ่นไปด้านหลัง และแผ่นหลังก็จะแอ่นมาด้านหน้า เพื่อช่วยให้คุณทรงตัวได้ เมื่อคุณยืนอย่างนี้หมอนรองกระดูกสันหลัง และเข่าก็จะต้องรับบทหนัก เป็นที่มาของความเสื่อมก่อนวัย นอกจากนี้ เพื่อรูปที่สวยและการทรงตัวที่ดี รองเท้าส้นสูง ๆ มักจะดีไซน์ด้านปลายเท้าให้แคบใส่บ่อย ๆ รองเท้าอาจจะบีบจนปลายเท้าผิดรูป หรืออาจจะเกิดตาปลาที่ฝ่าเท้าก็ได้
              เปลี่ยนด่วน : เลิกใส่รองเท้าส้นสูงทุกวันทุกเวลาหารองเท้าส้นเตี้ยเก๋ ๆ สักคู่มาสลับใส่ ให้เท้าและขาได้พักเสียบ้าง และหากจะใส่รองเท้าส้นสูงมาก ๆ ก็ควรใส่แค่ช่วงสั้น ๆ เช่น ไปงานเลี้ยงแบบนั่งโต๊ะ เป็นต้น

           เสื้อชั้นในผิดไซส์

              เชื่อหรือไม่ว่าผู้หญิงกว่า 70% เลือกบราผิดเบอร์ คุณอาจจะคิดว่าบราที่รัดแน่นจะช่วยประคองทรวงอกให้กระชับเป็นทรงสวย แต่ที่จริงแล้วนี่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย ไล่ไปตั้งแต่ปวดคอ หลัง และหน้าอก บุคลิกภาพแย่ หายใจติดขัด ผิวหนังระคายเคือง และอาจจะถึงขั้นเกิดความผิดปกติในระบบต่อมน้ำเหลืองได้ ซึ่งเรื่องสุดท้ายนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก แต่มีความเป็นไปได้ว่าบราที่รัดแน่นเกินไปจะทำให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองไปยังทรวงอกลดลง ทำให้เกิดของเสียและสารพิษตกค้างในบริเวณดังกล่าว
          เปลี่ยนด่วน : ขนาดหน้าอกของเราเปลี่ยนแปลงได้เรื่อย ๆ อย่าคาดเดาไซส์เอาเอง แต่ใช้การวัดและคำนวณเพื่อให้ได้ขนาดที่พอดีแน่นอนจะดีที่สุด

           กระเป๋าใบโต

              เพราะมีสัมภาระที่ต้องพกติดตัวมากมาย สาว ๆ สมัยนี้ก็เลยเลือกใช้กระเป๋าใบใหญ่ที่จุทุกสิ่งได้เต็มอัตรา ซึ่งกระเป๋าหนัก ๆ นี่แหละทำร้ายสุขภาพของคุณอย่างยิ่ง นอกจากปวดหลัง ปวดบ่า ปวดคอแล้ว ยังอาจจะทำให้กระดูกสันหลังของคุณมีปัญหาด้วย
              เปลี่ยนด่วน : เลือกใช้กระเป๋าที่ใบเล็กลง และจัดกระเป๋าให้มีแต่ของสำคัญเท่านั้น

           ชุดรัด ๆ จัดทรงรูปร่าง

              รวมไปถึงชุดที่โฆษณากว่าใส่สลายไขมันต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งแฟชั่นที่ไม่น่าตามเป็นอย่างยิ่ง โอ.เค. ว่าใส่แล้วคุณอาจจะรู้สึกผอมลงทันตา แต่ผลลัพธ์ต่อสุขภาพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ชุดที่ชัดแน่นมาก ๆ แน่นอนว่าบริเวณน้องสาวอาจจะเป็นแหล่งเพาะตัวของเชื้อจำพวกยีสต์ การเข้าห้องน้ำกลายเป็นเรื่องลำบาก ทำให้คุณกลั้นปัสสาวะโดยไม่รู้ตัว เลยเป็นต้นเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่ว นอกจากนี้ความรัดของชุดยังอาจก่อให้เกิดการกดทับบริเวณเส้นประสาทและเส้นเลือด หรือถ้าเป็นชุดที่รัดแน่นอนจนถึงบริเวณปอด ก็อาจส่งผลถึงการหายใจด้วย
              เปลี่ยนด่วน : อยากมีรูปร่างสวย ๆ ก็ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ชุดรัด ๆ พวกนี้พึ่งได้ชั่วคราว แต่อาจต้องมาทรมานกับการรักษาไปอีกนาน

           กางเกงชั้นใน จี-สตริง

              ต่อให้คุณอยากจะเป็นสาวสวยสุดเซ็กซี่ขนาดไหน จี-สตริง ก็ไม่เคยเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมักจะเสียดสี และส่วนใหญ่ยังทำจากผ้าใยสังเคราะห์ ก็เลยระบายความอับชื้นได้ไม่ดี จึงเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อราในช่องคลอดได้ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ด้วยรูปทรงของกางเกงในแบบจี-สตริง อาจจะทำให้เชื้อโรคจากบริเวณก้นถูกดันมาด้านหน้าเกิดการติดเชื้อที่บริเวณช่องคลอดและท่อปัสสาวะได้อีกต่างหาก
              เปลี่ยนด่วน : เลือกสวมกางเกงชั้นในผ้าคอตตอนที่ระบายความชื้นได้ดีจะดีที่สุด

           สกินนี่ยีนส์

              คุณเคยรู้สึกชาแถว ๆ ด้านข้างสะโพกบ้างหรือเปล่า ? นี่อาจเป็นเพราะกางเกงตัวโปรดของคุณเล็กเกินไปก็ได้นะ เพราะกางเกงที่รัดแน่นเกินพอดีจะไปกดทับเส้นประสาทผิวหนังโดนขาด้านข้าง (Lateral Femoral Cutaneous Nerve) จนทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจจะเป็นต้นเหตุก่อตัวของเชื้อราในช่องคลอดได้อีกด้วย
              เปลี่ยนด่วน : อยากตามแฟชั่นเทรนด์นี้ก็ต้องเลือกกางเกงที่ใหญ่ขึ้นสักเบอร์ และหาที่ผ้านิ่ม ๆ หน่อยก็ดี

           รองเท้าไร้ส้น

              อย่าเพิ่งกรีดร้องว่ารองเท้าส้นสูงก็ไม่ดี ส้นเตี้ยก็ไม่ได้ ในที่นี้เราพูดถึงรองเท้าที่พื้นแบน ๆ บาง ๆ มีส้นขึ้นมาเลยสักเซนติเมตรต่างหาก เพราะรองเท้าแบบนี้มักไม่มีอะไรมารองรับบริเวณอุ้งเท้าที่โค้งงอ ทำให้อุ้งเท้าเกิดอาการตึง และหากว่าเขาใส่รองเท้าลักษณะนี้นาน ๆ เนื้อเยื่ออาจค่อย ๆ เกิดการฉีดขาดจนทำให้เกิดอาการเจ็บแปลบทุกครั้งที่ย่างก้าว ซึ่งเป็นอาการอักเสบของพังผืดที่ฝ่าเท้า และเป็นอาการหลักที่นำผู้หญิงไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเท้ามากที่สุด
              เปลี่ยนด่วน : มองหารองเท้าที่มีการหนุนบริเวณความโค้งของอุ้งเท้าและส้นเท้ามาใส่ เพื่อทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล
[Continue Reading]

ไม่อยากหน้าแก่ รีบแก้ด้วยวิธีเหล่านี้

              โถ…พอพูดถึงหน้าแก่ เชื่อได้เลยว่าสาว ๆ ดราม่ากันเป็นแถวแน่ ๆ ก็อย่างเรา ๆ ยิ่งเวลาผ่านไป ก็จะยิ่งอยากให้หน้าดูอ่อนเยาว์ สาวขึ้นสินะ ใครจะไปอยากหน้าแก่กันล่ะ แต่ชีวิตประจำวันที่เราปฏิบัติกันอยู่นั้น ส่งผลร้ายผลดีกับใบหน้าของเราบ้างไหม ลองมาดูกันหน่อยดีกว่านะคะ

              ก่อนอื่นเลย หากสาว ๆ กำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ หยุดซะ !

           1. นอนดึก การพักผ่อนน้อยส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ผิวอ่อนล้าและแก่เร็ว

           2. เครียด ความเหนื่อยหนักในเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิต จะส่งผลกระทบกับร่างกายของเรา

           3. กินสารพิษ อย่างเหล้า, บุหรี่, กาแฟ, ชา, และของหวานต่าง ๆ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรรนะคะ

              ต่อมาก็เป็นวิธีปฏิบัติที่จะทำให้เรามีใบหน้าอ่อนเยาว์ ชะลอความแก่ของใบหน้าได้นะคะ

           1. ยิ้มจากใจ ความงามนี้มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแค่เราจะทำ รอยยิ้มถือเป็นเครื่องทำสวยชิ้นเอกที่ธรรมชาติมอบให้นะคะ ในบางคนไม่กล้ายิ้มเพราะกลัวรอยตีนกา หารู้ไม่ว่าการทำหน้าบึ้งนั้นใช้กล้ามเนื้อมากกว่าเยอะ และร่องรอยที่เกิดจากการยิ้มช่วยให้หน้าดูมีเสน่ห์

           2.ไม่เคี้ยวหนัก ไม่กินเหนียว ขอให้ถนอมหน้าด้วยการลดเคี้ยว ลดการกัดฟันและลดการใช้กรามลงบ้าง เพราะการเคี้ยวทำให้ใบหน้าเปลี่ยนรูปได้มาก เกิดริ้วรอยและเคี้ยวบ่อยทำให้กรามดูกว้างขึ้น

           3. พักยูวี หนีแสงแดดที่ร้อนแรงบ้างบางขณะ เพราะยูวีมีผลกับ "ผิว" และ "ดวงตา" สวย ๆ มาก การสัมผัสแสงยูวีนานๆ จะทำให้คอลลาเจนที่ผิวเสื่อมเร็ว รอยยับตามผิวจะเกิดขึ้นได้ง่ายค่ะ

           4. เว้นกรีดตา การปัดตาหรือใช้อายไลน์เนอร์บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาได้ โดยเฉพาะตรงหางตาที่อาจพาริ้วรอยเล็ก ๆ มาจนที่สุดกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้

           5. นอนไม่ทับหน้า การนอนเอียงหน้านั้นนานเข้ามันมีผลให้เกิดรอยยับเป็นร่องลึก เพราะฉะนั้นการหยุดนอนทับหน้าตั้งแต่วันนี้จะช่วยได้นะคะ

           6. อย่าดูดบ่อย โดยเฉพาะ 2 ดูด คือ "บุหรี่" และ "หลอดดูด" เพราะการใช้หลอดดูดน้ำอย่างดูดดื่มจนปากจู๋จะมาคู่กับรอยยับเล็ก ๆ รอบริมฝีปาก เป็นรอยโดยที่เราไม่รู้ตัว

           7. ปล่อยหัวเราะ เปล่งเสียงแห่งความสุขออกมา อ้าปากหัวเราะจากใจบ้าง นอกจากสร้างความ "ไม่แก่"แล้ว ยังช่วยให้คนรอบข้างได้ผ่อนคลายด้วย การหัวเราะช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขและความสดใสบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

           8. สร้างคอลลาเจน มีวิธีง่าย ๆ ช่วยได้คือ โยคะหน้า, ออกกำลังกาย และรับประทานปลา พวกโปรตีนย่อยง่าย

           9. ออกกำลังกาย เป็นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดแบบง่าย ๆ แถมช่วยให้ผิวเด้งดูเฟิร์มสวยด้วย เพราะการออกกำลังช่วยละลายไขมัน สร้างความกระชับและยืดหยุ่นให้ผิว

           10. เพิ่มพลังน้ำ ผิวจะไม่แก่ต้องมี "น้ำ" อยู่เพียงพอ ความชุ่มชื้นสำคัญมากต่อผิว การที่ผิวแก่เร็วมีสัญญาณหนึ่งคือ "อุ้มน้ำได้น้อย" ดังนั้นการเติมน้ำให้ผิวและพิทักษ์น้ำไม่ให้รั่วจากผิวไปจึงเป็นเคล็ดลับสำคัญ


    ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

5 ผลเสียที่คาดไม่ถึง หากเลือกชุดชั้นในผิดไซส์ !




          ชุดชั้นในผิดไซส์ ส่งผลเสียต่อร่างกายของผู้หญิงมากเกินกว่าที่คิดไว้ ซึ่งในระยะสั้นอาจเกิดอาการเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังพอรับมือได้ แต่ในระยะยาวอาจเป็นหนทางสู่โรคที่อาจสายเกินแก้อย่างโรคมะเร็งเต้านม ที่เชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเป็น

              ถึงแม้ว่าชุดชั้นในคุณภาพดีจะมีราคาสูงกว่าตามตลาดทั่วไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรลงทุนเพื่อสุขภาพ และบุคคลิกของคุณ ลองคิดดูสิคะว่าหากซื้อชุดชั้นในที่คับแน่น หรือหลวมจนเกินไป อีกทั้งยังทำมาจากวัสดุคุณภาพต่ำ จะทำให้คุณต้องมาคอยกังวลตลอดทั้งวัน ไหนจะต้องคอยดึงให้เข้ารูปบ่อย ๆ และวัสดุที่ไม่ดีจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ นอกจากนี้การเลือกชุดชั้นในผิดไซส์ยังส่งผลเสียที่น่าทึ่งอย่างไม่คาดฝันได้อีกด้วย งั้นมาดูกันดีกว่าว่า 5 ผลเสียที่สาว ๆ คาดไม่ถึงหากเลือกชุดชั้นในผิดไซส์จะมีอะไรบ้าง บอกได้เลยว่าน่ากลัวมาก ๆ อ่ะ

       ก่อให่้เกิดมะเร็งเต้านมในระยะยาว
              สาว ๆ คนไหนที่ชอบบ่นว่าปวดหัว หรือปวดหลังบ่อย ๆ ก็ลองคิดทบทวนดูให้ดีสักนิดว่า ชุดชั้นในที่คุณเลือกใส่นั้น เป็นไซส์ที่เหมาะกับหน้าอกของคุณหรือไม่ หากเลือกชุดชั้นในที่มีไซส์ไม่พอเหมาะพอดี เช่น ชุดชั้นในที่คับเกินไป ส่วนผ้า และโครงเหล็กอาจบีบรัดหน้าอกจนทำให้รู้สึกปวดได้ และยิ่งใส่เป็นเวลานานทั้งวัน แน่นอนว่าคุณต้องเกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายได้ง่ายแน่ ๆ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อาการเจ็บปวดจะสะสมไปเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมที่ผู้หญิงทุกคนสะพรึงกลัวเป็นที่สุด

       ระบบหายใจมีปัญหา

              หากคุณเลือกใส่ชุดชั้นในที่คับแน่นเกินไป และยังเป็นชุดชั้นในที่เสริมโครงเหล็กด้วยนั้น จะทำให้เกิดการกดทับกับกระดูก และกล้ามเนื้อ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหากับระบบหายใจในระยะยาวแน่นอน ฉะนั้นอย่าประมาทเชียวนะคะ เพราะตอนนี้อาจจะยังไม่เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้น แต่ในระยะยาวคุณอาจจะพบเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว

       เกิดบาดแผลจากการเสียดสี

              ชุดชั้นในที่คับเกินไปจะทำให้เสียดสีกับบริเวณหน้าอก จนเกิดบาดแผลในบริเวณนั้น ยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อน หากเวลาคุณขยับเขยื้อนตัวทั้งวัน ก็อาจทำให้โครงชุดชั้นในเสียดสีกดทับกับร่างกายมากขึ้น และเมื่อผสมรวมกับเหงื่อ บาดแผลก็จะยิ่งลุกลามหนักกว่าเดิม จนต้องเสียเงินรักษากันอีกนาน ดีไม่ดีอาจทิ้งรอยไว้ให้ช้ำใจทีหลังด้วย

       เสียบุคลิกภาพ

              ไม่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าด้านนอกที่สวยหรูขนาดไหน แต่หากคุณยังใส่ชุดชั้นในที่ผิดไซส์ไว้ด้านใน จะทำให้หน้าอกของคุณนูนออกมาแปลกผิดธรรมชาติ บางทีอาจจะนูนออกมาด้วยขนาดที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งทำให้บุคลลิกของคุณดูแย่ เพราะต้องคอยขยับชุดชั้นในที่อึดอัดเสมอ แถมเสื้อผ้าภายนอกที่สวยงามก็กลับดูไม่สวยตามไปด้วย

       เกิดอาการเจ็บปวดร่างกาย

              แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนต้องใส่ชุดชั้นในตลอดเวลาที่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ยิ่งกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานต้องอยู่กับชุดชั้นในหลายชั่วโมง ถ้าหากเลือกใส่ชุดชั้นในผิดไซส์ที่อาจจะคับแน่นหน้าอกเกินไป จะทำให้รู้สึกปวดกระดูก และกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นไปทั้งวัน อีกทั้งยังจะทำให้สุขภาพจิตของคุณแย่ลงไปด้วย ฉะนั้นควรหันมาใส่ใจในการเลือกไซส์ชุดชั้นในให้เหมาะกับคุณ เพื่อเลี่ยงอาการเจ็บปวดตามร่างกายดีกว่าค่ะ


              เห็นไหมล่ะคะว่า การเลือกชุดชั้นในผิดไซส์นั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่คิดเลย รู้แบบนี้แล้ว ควรโละเสื้อชั้นในผิดไซส์ที่คุณมีอยู่ทิ้งไปเสียเถอะ อย่าไปเสียดายเลยค่ะ เพราะมันช่างไม่คุ้มค่ากับการที่จะเอาร่างกายของคุณมาแบกรับกับความเจ็บปวดทุกวันเลยจริง ๆ 



    ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

ผู้หญิงนิยมใส่บราผิดไซส์ หวังให้อกดูม-เสริมความมั่นใจ



              หญิงอังกฤษจำนวนไม่น้อย เลือกใส่บราผิดไซส์ เพราะต้องการให้หน้าอกดูใหญ่กว่าเดิม เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น 
              เชื่อว่าคงมีสาว ๆ ที่เลือกใส่บราผิดไซส์กันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะบางคนก็เลือกให้ใหญ่กว่าไซส์หน้าอกตัวเอง เพื่อให้คนภายนอกมองเห็นว่าหน้าอกคุณไม่ได้จอแบนจนทำให้เสียเซลฟ์เกินไป และยังช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณกล้าเดินเฉิดฉายออกไปพบปะผู้คนมากขึ้นด้วย แต่ไม่เพียงเฉพาะสาว ๆ บ้านเราเท่านั้นหรอกค่ะ สาวอังกฤษก็ทำแบบนี้เหมือนกัน จากผลสำรวจพบว่าสาว ๆ เมืองผู้ดีจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกใส่บราผิดไซส์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง

              วันที่ 14 พฤษภาคม 2014 เว็บไซต์เดลี่เมล  เผยผลสำรวจจากแบรนด์ชุดชั้นใน Triumph เกี่ยวกับผู้หญิงอังกฤษที่เลือกใส่บราผิดไซส์ แม้จะรู้ว่าตนเองเลือกใส่บราไม่พอดีตัว แต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนพฤติกรรมนี้ โดยผลสำรวจเผยว่า ผู้หญิงกว่า 37 เปอร์เซ็นต์ ตั้งใจใส่บราที่ไม่พอดีตัว เพราะต้องการให้หน้าอกดูใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ 

              ทั้งนี้ ผู้หญิงกว่า 73 เปอร์เซ็นต์ ก็ออกมายืนยันว่า การใส่บราที่ไม่พอดีตัวช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้พวกเธอมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องงาน และผู้หญิงกว่า 76 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังคงจะเลือกใส่บราที่ใหญ่กว่าหน้าอกตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย อีกทั้งผู้หญิงจำนวนไม่น้อยไม่รู้ไซส์บราที่เหมาะสมกับตัวเอง หรือบราไซส์ที่ใส่พอดีตัวไม่ค่อยจะมีขายตามท้องตลาดทั่วไป

              นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่า ผู้หญิงทั่วโลกมักจะเลือกซื้อบราที่เข้ารูป เหมาะสมกับรูปร่าง และนุ่มเบาสบาย และแบรนด์ชุดชั้นในชื่อดัง ไทรอัมพ์ (Triumph) ยังมีแคมเปญดี ๆ ในการค้นหาผู้หญิงอังกฤษ 10,000 คน ที่เลือกใส่บราถูกไซส์อีกด้วย โดยมีชื่อแคมเปญว่า Stand Up For Fit เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงเลือกใส่บราในไซส์ที่เหมาะกับตัวเองมากยิ่งขึ้น

              รู้อยู่แล้วค่ะว่าสาว ๆ ต้องการมีหน้าอกที่ดูสวยงามไม่แบนเป็นไข่ดาว แต่การเลือกใส่บราผิดไซส์นั้น จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย และสุขภาพของคุณมากกว่าที่คิด ทางที่ดีควรเลือกชุดชั้นในเสริมฟองน้ำเอาไว้ใส่ในวันที่อยากเพิ่มความมั่นใจมาใส่แทนดีกว่านะคะ 

ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

พฤติกรรมบั่นทอนอายุ ! สาวคนไหนไม่อยากแก่เร็ว ห้ามพลาด

              ก็สมัยนี้น่ะ คนส่วนหนึ่งที่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น อันนี้ก็ดีอยู่แล้วค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เรียกว่าไม่ใส่ใจสุขภาพเอาเสียเลย มีการใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามมีตามเกิด แบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ ที่จะบอกได้เลยว่าเราจะมีอายุยืนสักแค่ไหน หรือแก่ช้าอย่างไร งั้นเรามาดูสิ่งที่เมื่อทำแล้วเราจะแก่เร็ว ! กันเถอะ

           การนอนดึก

              ก่อนอื่นเลย คือ การนอนดึก ไม่ว่าจะไปเที่ยวมา ทำงานเลิกช้า ติดซีรีย์ หรือดูฟุตบอลก็ตาม การนอนดึกนั้นทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นแล้วจะยิ่งทำให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะคนนอนดึกก็มักจะหิว ยิ่งง่ายต่อการทานกลางคืนค่ะ

           สูบบุหรี่และกินเหล้า

              อันนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นผลเสียกับอวัยวะภายในและภายนอกของร่างกาย เพราะปอดและตับจะทำงานหนัก เป็นผลให้แก่เร็วและเป็นมะเร็งตามมา เพราะฉะนั้นเราจึงควรลด ละ และเลิกซะตั้งแต่ตอนนี้นะคะ เพื่อสุชภาพที่ดีของเรา

           ชอบทานแต่ไขมัน

              เพราะไขมันและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็ง ที่จะทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ มิหนำซ้ำยังอ้วนอีกนะ

           มีความเครียดจัด

              เพราะหากมีความทุกข์ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้อย่างดีทีเดียว นอกจากจะเป็นเรื่องของมะเร็งแล้ว ความเครียดนั้นจะบั่นทอนในทุกการกระทำของเราอีกต่างหากนะคะ มีผลไปถึงหน้าหมองคล้ำดำเสีย ไม่สดใสอีกด้วย

           ร่างกายขาดวิตามิน

              เพราะวิตามินต่าง ๆ จะทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งได้อย่างดี แล้วหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ ก็จะไม่มีอะไรสู้กับมันได้ เพราะฉะนั้นควรหมั่นรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินให้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ

           ทานของร้อนจัดเกินไป

              อย่างการซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนนั้น จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบ และเมื่ออักเสบแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างนั้นแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและควรรอให้ของร้อนแล้วนั้น อยู่ในระดับที่พออุ่นค่ะ

           กลั้นปัสสาวะ

              น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้น มันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะของเราสะสมสิ่งเน่าเสียเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งได้ แล้วยังทำให้เราเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย

           ชอบทานรสเค็ม

              สิ่งมีชีวิตที่กินอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเต็ม เนื้อแห้ง เป็นต้น ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบทานเค็มให้ลดน้อยลง ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ

           ตากแดดบ่อยเกินไป
              แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ อย่างนั้นแล้วจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด หาวิธีป้องกันโดยการทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้นะ





    ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

สาวชอบแต่งหน้า เสี่ยงสารเคมีสะสม 2 กิโลกรัมต่อปี



              รู้หรือไม่ ? สาวผู้ชื่นชอบการแต่งหน้า เสี่ยงต่อการสะสมสารเคมีถึง 2 กิโลกรัมต่อปี !

              คงต้องยอมรับว่าสาว ๆ สมัยนี้สนุกกับการแต่งหน้ามากขึ้น เพราะเทคนิคการสอนแต่งหน้าสามารถหาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว แต่รู้กันหรือไม่ว่าในเครื่องสำอางที่ใช้กันอยู่นั้นมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ระหว่าง 80-90% ซึ่งถ้าหากสาว ๆ ไม่ดูแลปกป้องผิวหน้ากันอย่างดีแล้ว นอกจากจะได้ผิวหน้าหมองคล้ำ มีริ้วรอยเป็นของแถมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการสะสมสารเคมีในร่างกายถึงปีละ 2 กิโลกรัม ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับผิว ความผิดปกติด้านฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งก่อเกิดมะเร็งได้

              "ในการแต่งหน้าแต่ละครั้งนั้น ผิวหนังสามารถซึมซับสารเคมีจากเครื่องสำอางเข้าสู่ร่างกายได้ถึง 60% อันเป็นสาเหตุเบื้องต้นของผิวหน้าหมองคล้ำ มีริ้วรอยเหี่ยวย่น เนื่องจากผิวหน้าได้รับออกซิเจนน้อยลงทำให้เซลล์เสื่อม และดูมีอายุก่อนวัย ถึงแม้จะมีการทำความสะอาดเป็นอย่างดีก่อนนอน ดังนั้นยิ่งผู้หญิงยิ่งแต่งหน้าหนามากเท่าไหร่ จะยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อการดูแก่ก่อนวัยและผิวหมองคล้ำมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ควรใช้สำอางมากชนิด ควรใช้แต่พอควร และรีบล้างออกทันทีเมื่อหมดวัน หากทิ้งไว้อาจเป็นต้นกำเนิดของแบคทีเรียต่าง ๆ ทำให้เกิดการอุดตัน เป็นที่มาของผื่นแพ้และเป็นสิว" นพ.วรพล สุขีวัฒนา หรือ ดร.โทนี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ กล่าว

              สาว ๆ ผู้รักสวยรักงามต้องหันมาใส่ใจในเลือกซื้อเครื่องสำอางกันมากขึ้น โดยให้ความใส่ใจกับส่วนผสมต่าง ๆ เพราะสารบางตัวนั้นเป็นต้นเหตุของมะเร็ง บางตัวมีผลทำให้ฮอร์โมนผู้หญิงลดลง ประจำเดือนหมดเร็ว ก่อนจะซื้อเครื่องสำอางจึงควรระวัง 5 อันดับต้น ๆ ของสารเคมีที่มีอันตรายต่อร่างกาย ดังต่อไปนี้

              1. พาราเบน (Paraben) สารกันเสียที่นิยมใช้อย่างมากในกลุ่มเครื่องสำอางจำพวกผิวหนัง ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมทำความสะอาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นหรือโรลออน เนื่องจากราคาถูกจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในรูปของเมธิลพาราเบน (Methylparaben) และเอทิลพาราเบน (Ethylparaben) มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย สารเคมีตัวนี้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและง่ายต่อการสะสมในร่างกาย หลายองค์กรจึงรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการใช้พาราเบนที่พบว่าเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว อาจขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อ ทำให้มีความผิดปกติด้านฮอร์โมน (Hormone imbalance) และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม 

              2. ทาล (Talc) เป็นสารเคมีอีกหนึ่งชนิดที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะถ้าใช้แหล่งวัตถุดิบไม่ดีอาจเกิดการปนเปื้อนของสารชนิดที่เรียกว่า "Asbestos" แต่ต้องได้รับเป็นจำนวนมากจึงส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ ทาลเป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบมากที่สุดในเครื่องสำอางประเภทแป้งตลับ อายแชโดว์ชนิดฝุ่น หรือพวกบลัชออน เป็นต้น โดยทำหน้าที่เป็นสารช่วยหล่อลื่นทำให้รู้สึกลื่นเมื่อสัมผัส ไม่จับตัวเป็นก้อน

              3. Petroleum Derivative เป็นสารเคมีที่ได้มาจากการแยกน้ำมันปิโตรเลียม และถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายประเภท อาทิ ครีมรองพื้น โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว เพื่อทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื่นผิว โดยการเคลือบผิวไว้ แต่ด้วยความที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และผ่านกรรมวิธีทางเคมี จึงอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ผิวอุดตันและเกิดสิวได้ และหากสะสมในประมาณมากพอสมควร อาจเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันในเพศหญิงอ่อนแอ

              4. สารตะกั่ว (Lead) อาจจะปนเปื้อนมาจากการสกัดส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางเป็นสารต้องห้าม เนื่องจากหากดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการปวดบิดในท้องอย่างรุนแรง ร่วมกับอาการท้องผูก หรือถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเร็วขึ้นและลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดแดง ระบบประสาททั่วร่างกายผิดปกติ กฎหมายกำหนดไว้ว่าอาจพบสารตะกั่วได้ในอัตราส่วนไม่เกิน 20 ส่วนในล้านส่วนโดยน้ำหนัก หากพบว่าผลิตภัณฑ์ใดมีสารตะกั่วเกินกว่านี้จะเข้าข่ายเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัย

              5. สารปรอท (Mercury) เป็นสารที่ทำให้เกิดอาการการแพ้หรือระคายเคืองได้อย่างรุนแรง อันตรายต่อระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบในเครื่องสำอางที่ทำให้สีผิวจาง ลดสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ที่ไม่ได้มาตรฐาน สารปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น สูดดมเข้าทางปอด หรือถูกดูดซึมผ่านทางลำไส้เล็กหากมีการกลืนกินเข้าไป แม้แต่การทาที่ผิวหนัง สารปรอทก็จะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมในร่างกาย


              ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีสารจำพวกนี้ และควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดทุกครั้ง หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่สามารถป้องกันการซึมเข้าผิวของสารเคมีชนิดต่าง ๆ จะสามารถปกป้องผิวจากสารเคมีในเครื่องสำอาง ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและลดอัตราเสี่ยงต่อโรคร้ายต่าง ๆ ได้

    ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจาก kapook.com
[Continue Reading]

30 วิธี เร่งเผาผลาญไขมัน




30 วิธี เร่งเผาผลาญไขมัน ได้แก่


1. ตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โน้มตัวลงใช้มือแตะสลับเท้ารวมทั้งจัดเตียงและพับผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าทางและดูเรียบร้อยทุกวัน แค่ 20 นาที ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวย

2. ยืดเวลา “ยืน” แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้นานขึ้น

3. จัดห้องด้วยตัวเอง ถึงเวลาเสียทีสำหรับการตกแต่งห้องใหม่ เริ่มด้วยการย้ายรูปภาพ เลื่อนตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา โคมไฟ และอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณเสียเหงื่อมากกว่าการนอนนิ่งอยู่บนโซฟา

4. ดูดฝุ่นด้วยตัวเอง เปลืองเวลาแค่ 20 นาทีครับ ทำตอนดึก ๆ หรือหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้

5. ตัดใจและจัดการทิ้งข้าวของที่ไม่ใช้ เช่น กระดาษและแมกกาซีนกองโตที่ตั้งเรียงสูงเกือบถึงเพดาน

6. รักษาโลกสีเขียวของทุกคน ด้วยการแยกขยะออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระป๋อง แก้ว ขยะมีพิษ และขวดพลาสติก

7. เมิน “Car Care” หรือร้านล้างรถชั่วคราวแล้วหันมาล้างรถด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ

8. ตกแต่งกิ่งก้าน ดึงวัชพืช รดน้ำต้นไม้ รวมถึงซ่อมรั้วที่คุณจด ๆ จ้อง ๆ จะซ่อมมานาน

9. ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข อย่าลืมพามันออกวิ่งและเที่ยวใกล้ ๆ บ้าน ส่วนใครที่ไม่รักสัตว์คุณยังมีเครื่องเล่น MP3 และเพลงเพราะ ๆ จากหูฟังดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณวิ่งหรือเดินได้นานขึ้นกว่าเดิม

10. ใช้รถเข็นซื้อข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่เคยทำเราอยากให้คุณลองซื้อของใช้เข้าบ้านสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาเดินให้นานขึ้นลองดูครับเข็นแล้วเดินไปรอบ ๆ อย่างน้อย 20-30 นาที

11. จอดรถของคุณไว้ที่บ้าน แล้วเดินหรือใช้รถสาธารณะแทน

12. หนังสือที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แกะออกจากถุงดีกว่าครับใช้เวลานิดหน่อยจัดเรียงและถ้าชั้นวาง
ของไม่พอก็วางแผนต่อชั้นวางใหม่ด้วยตัวเองเสียเลย

13. ถ้าเล่นดนตรีเป็น ลองเล่นดนตรีชิ้นโปรดโดยเฉพาะแซ็กโซโฟน เปียโน และกลอง แต่ถ้าไม่สะดวก ลองเปิดเพลงโปรดแล้วเต้นดูก็ได้ครับหรือจะโค้งเชิญคนรู้ใจที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับด้วยก็ได้…ไม่ว่ากัน

14. หลังจากกดปุ่ม “Start” พยายามปลีกตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เดินไปไหนมาไหนในบ้านบ้างบางครั้ง คุณก็ควรปล่อยวางและใช้เวลา 25 นาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับการเช็กอี-เมล์

15. อาสาล้างจานแทนสาว ๆ หลังจบงานปาร์ตี้ที่บ้านของเธอ

16. ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี

17. เดินทักทายเพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้องในแผนกในบางโอกาส

18. กินอาหารกลางวันนอกที่ทำงาน แทนการซื้อเข้ามาโดยไม่ได้ลุกออกไหนเลย

19. เดินดูสินค้า ในแผนกเครื่องเสียงหรือแผนกไอที

20. ถ้าคุณมีความสามารถในด้านการทำอาหาร หรืออย่างน้อยก็อุ่นอาหารใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้สักประมาณ 20 นาที

21. ในการขึ้น-ลงไม่กี่ชั้นในสำนักงาน คุณควรเลือกใช้บันไดแม้แต่ในบ้านก็ใช้บันไดในการออกกำลังกายได้ด้วยการเดินขึ้น-ลงเป็นเวลาประมาณ 5 นาที

22. ในงานเลี้ยง การนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ลุกไปไหนนอกจากจะทำให้คุณเป็นคนไม่น่าสนใจแล้ว ไขมันของคานาเป้ แซนด์วิชแฮมชีสและเบียร์ที่คุณดื่มยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีคุณควรลุกขึ้นมาขยับและเริ่มบทสนทนาเดินคุยกับผู้คนหน้าใหม่ ๆ หรือไม่ก็หันมาโชว์สเต็ปทันทีที่ได้ยินเพลงโปรดของตัวเอง

23. ถึงจะเป็นงานของผู้หญิง แต่คุณก็สามารถพับหรือรีดเสื้อผ้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำได้

24. ถ้าคุณเป็นคนชอบดูรายการโทรทัศน์ อย่าลืมลุกไปทำโน่นทำนี่ทุกครั้งที่มีโฆษณา

25. หาซื้ออุปกรณ์ง่าย ๆ อย่างดัมเบลล์ หรือเสื่อโยคะติดบ้านไว้ อาจรวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างจริงจัง

26. การบิด สะบัด และตากเสื้อผ้าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีแม้ว่าคุณจะซักด้วยเครื่องตามปกติ

27. เป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ด้วยการอาสาทำงานออกแรงที่สุภาพสตรีไม่ถนัด

28. เดาะบอลที่สนามหลังบ้าน หรือไม่ก็วิ่งบนลู่วิ่งเก่าเก็บที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้งาน

29. “ยืน” คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องพรรคการเมือง “พรรคนั้น” เรื่องฟุตบอลแมตช์ที่ผ่านมา หรืออ่านบทความสำคัญใน Forbes ไปจนจบใช้เวลา 22 นาทีก็น่าจะลงตัว

30. และสำหรับข้อสุดท้ายที่หลายคนสนใจมีวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้ คือ คุณสามารถงีบหลับไปได้ 45 นาที ซึ่งจะช่วยเผาผลาญได้ถึง 50 แคลอรี จากการสูดอากาศหายใจก็อย่างที่คุณรู้น่ะครับ แค่ขยับ..ก็เท่ากับออกกำลังกาย


ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับการลดความอ้วนจาก kapook.com
[Continue Reading]

จริงดิ ! แค่ดมกลิ่นผลไม้ ก็ช่วยให้เมินอาหารแคลอรี่สูงได้ง่าย ๆ


             แค่ดมกลิ่นผลไม้ ความรู้สึกอยากกินขนมนมเนย หรืออาหารอุดมไปด้วยแคลอรี่ และไขมันก็ลดฮวบฮาบไปเกินครึ่ง !

              กลายเป็นข้อมูลที่เห็นแล้วต้องตาโตจริง ๆ เลยว่าไหมคะ ใครจะเชื่อล่ะว่า แค่กลิ่นผลไม้ที่เราดมเข้าไป จะช่วยเปลี่ยนข้อมูลในสมอง โน้มน้าวให้เราตัดสินใจเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากินได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องฝืนใจ หรือใช้ความพยายามมากเท่าเมื่อก่อน และแม้ว่าจะมีอาหารอันโอชะ (ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่ทำให้อ้วน !) วางล่อตาล่อปากอยู่ตรงหน้า ผลวิจัยที่เว็บไซต์ Daily Mail เขานำมาเผยแพร่ ก็บอกว่า เราจะเมินหน้าหนี แล้วเลือกอาหารเพื่อสุขภาพมากินแทนหน้าตาเฉยเลยล่ะ
     
              ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส ให้ข้อมูลว่า จากการทดลอง ผู้ทดลองที่ดมกลิ่นผลไม้ก่อนเลือกอาหาร จะพลิกแพลงความอยากอาหารจากตอนก่อนได้ดมกลิ่นผลไม้โดยไม่รู้ตัวสอดคล้องกับผลวิจัยอีกงานหนึ่งที่คัดเลือกอาสาสมัครกว่า 115 คน คละหญิง-ชาย อายุระหว่าง 18-50 ปี โดยจับแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้นั่งอยู่ในห้องที่หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นลูกแพร์สด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งถูกแยกให้นั่งอยู่ในห้องปกติ ไม่มีกลิ่นใด ๆ รบกวน 

              หลังจากนั้น 15 นาที ผู้ทดลองทั้งสองกลุ่มจะได้เลือกอาหารแบบบุฟเฟต์ โดยดูจากเมนูที่ทีมนักวิจัยเตรียมไว้ให้ ซึ่งในเมนูนั้นจะมีอาหารให้เลือก 3 คอร์สด้วยกัน คอร์สแรกเป็นอาหารประเภทผัก และผลไม้เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และขนมหวาน ซึ่งไม่มีผัก และผลไม้ปะปนอยู่เลย

              ผลการวิจัยก็ปรากฏว่า กลุ่มผู้ทดลองที่ได้ดมกลิ่นลูกแพร์ มีแนวโน้มเลือกอาหารคอร์สแรก (ผัก และผลไม้) มากกว่าอาหารคอร์สอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ทดลองที่ไม่ได้ดมกลิ่นลูกแพร์ กลับมีแนวโน้มเลือกรับประทานขนมหวาน (บราวนี่ช็อกโกแลต ราดน้ำเชื่อมผลไม้) มากกว่า

                ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็อธิบายถึงการทดสองไว้ด้วยว่า กลิ่นสดชื่นของผลไม้ จะช่วยลดความอยากอาหาร และกำราบปัจจัยกระตุ้นให้อยากกินของหวานได้ประมาณหนึ่ง เนื่องจากกลิ่นผลไม้จะไปสะกิดให้สมองรู้จักแยกแยะอาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารที่ไม่มีประโยชน์อย่างชัดเจนมากขึ้น ผลักดันให้เรารู้สึกระมัดระวังในการกินมากขึ้นไปด้วยนั่นเองค่ะ

                นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพิสูจน์มาอีกด้วยนะคะ ว่ากลิ่นผลไม้เกือบทุกชนิด จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น เพราะกลิ่นหอมหวานของผลไม้ สามารถลดความหิวที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แถมยังส่งผลกระทบไปถึงสมอง ให้ร่างกายเกิดความรู้สึกอยากกินผลไม้ขึ้นมาจริง ๆ ซะอย่างนั้นเลยด้วย
       
                แบบนี้ก่อนทานอาหาร คงต้องหากลิ่นผลไม้มาดมซะหน่อยแล้วล่ะมั้ง ดูซิว่าจะช่วยลดความอยากอาหารของเราได้ขนาดไหน




      ขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับการลดความอ้วนจาก kapook.com
[Continue Reading]
Powered By Blogger · Designed By Seo Blogger Templates